วันที่ 7 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา ศาลได้อ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อทย.582/2567 ซึ่งพนักงานอัยการสำนักงานอัยการสูงสุดเป็นโจทก์ ยื่นฟ้องบริษัท เคทูเอ็น โกลด์ จำกัด จำเลยที่ 1 กับพวกรวม 3 คน ในความผิดฐานฉ้อโกง ความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค และพระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรง
โดยในการสืบพยาน จำเลยทั้งสาม ได้แก่ บริษัท เคทูเอ็น โกลด์ฯ นายกานต์พล เรืองอร่าม และนางสาวกรกนก สุวรรณบุตร ให้การรับสารภาพ ศาลจึงมีคำพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดฐานร่วมกันประกอบธุรกิจตลาดแบบตรงโดยไม่ได้รับอนุญาต ปรับบริษัทจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 25,000 บาท และจำคุกจำเลยที่ 2 และ 3 คนละ 3 เดือน พร้อมปรับคนละ 25,000 บาท
ในข้อหาฐานร่วมกันโฆษณาโดยใช้ข้อความไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภค โดยเจตนาก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในแหล่งกำเนิด สภาพ คุณภาพ ปริมาณ หรือสาระสำคัญประการอื่นที่เกี่ยวกับสินค้า หรือบริการ ซึ่งเป็นความเท็จหรือเกินความจริง ศาลพิพากษาปรับบริษัทจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 25,000 บาท และจำคุกจำเลยที่ 2 และ 3 คนละ 1 เดือน 15 วัน พร้อมปรับคนละ 25,000 บาท
ในข้อหาฐานร่วมกันขายสินค้าที่ควบคุมฉลากโดยไม่มีฉลาก หรือมีฉลากแต่ไม่ถูกต้อง ปรับบริษัทจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 25,000 บาท และจำคุกจำเลยที่ 2 และ 3 คนละ 1 เดือน 15 วัน พร้อมปรับคนละ 25,000 บาท
ส่วนข้อหาฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชน รวม 60 กระทง ศาลสั่งปรับบริษัทจำเลยที่ 1 กระทงละ 10,000 บาท รวมเป็นเงิน 600,000 บาท และจำคุกจำเลยที่ 2 และ 3 คนละ 6 เดือน พร้อมปรับคนละ 10,000 บาท รวมจำคุกคนละ 360 เดือน และปรับคนละ 600,000 บาท
เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว ศาลพิพากษาปรับบริษัทจำเลยที่ 1 รวมเป็นเงิน 675,000 บาท ส่วนจำเลยที่ 2 และ 3 ให้จำคุกคนละ 20 ปี และปรับคนละ 675,000 บาท
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จากรายงานการตรวจพิสูจน์ทองคำของกลางของผู้เสียหายทั้ง 36 ราย พบว่าเป็นทองคำที่มีค่าความบริสุทธิ์ร้อยละ 99.99 ได้แก่ ผลปี่เซียะ จี้คาบเหรียญทองคำใหญ่ กลาง และเล็ก จี้ท้าวเวสสุวรรณ จี้ตาไข่ทองคำ จี้ทองคำรูปหัวใจ สร้อยข้อมือตะกรุด ทองปี่เซียะรุ่น 1 ตัว และสร้อยข้อมือหินหยกปี่เซียะ โดยมีส่วนประกอบอื่น เช่น ลูกปัดที่เชื่อมต่อกับตัวปี่เซียะ ซึ่งมีค่าทองคำเพียงร้อยละ 71-73 เศษ ดังนั้น เครื่องประดับทองคำที่จำเลยทั้งสามจำหน่ายไม่ใช่ทองคำปลอมหรือด้อยคุณภาพ เพียงแต่จำเลยทั้งสามได้โฆษณาอ้างว่าเป็นทองคำร้อยละ 99.99 และมีของแถมเป็นทองคำ
ต่อมาจำเลยทั้งสามได้สำนึกผิดและออกประกาศรับคืนสินค้าดังกล่าว โดยมีผู้คืนสินค้ารวม 3,929 ราย มูลค่า 82,709,747 บาท และจำเลยทั้งสามได้คืนเงินเต็มจำนวนแก่ผู้ซื้อแล้ว 1,610 ราย เป็นเงินรวม 57,023,860 บาท อีกทั้งจำเลยทั้งสามยังได้วางเงินต่อศาลเพื่อคืนให้แก่ผู้เสียหายทั้ง 36 รายครบถ้วนตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์
ศาลเห็นว่าจำเลยทั้งสามสำนึกผิดและได้บรรเทาผลเสียหายแก่ผู้เสียหายและผู้ซื้อสินค้า อีกทั้งจำเลยที่ 2 และ 3 ถูกคุมขังระหว่างสอบสวนมาระยะหนึ่ง เชื่อว่าทั้งสองจะเข็ดหลาบและไม่กระทำผิดซ้ำ ประกอบกับไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 และ 3 เคยกระทำผิดมาก่อน ศาลจึงเห็นควรให้โอกาสกลับตนเป็นพลเมืองดี
จึงให้รอการลงโทษจำคุกไว้ 5 ปี และให้จำเลยที่ 2 และ 3 อยู่ในความควบคุมความประพฤติภายในระยะเวลาดังกล่าว โดยต้องรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติปีละ 2 ครั้ง และทำงานบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์คนละ 30 ชั่วโมง พร้อมทั้งห้ามกระทำการฝ่าฝืนกฎหมายในลักษณะเดียวกับความผิดคดีนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 และให้ดำเนินการชำระค่าปรับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 และ 30 ส่วนคำขออื่นให้ยก.