วันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2568 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แถลงถึงโครงการ คนละครึ่งพลัส ว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ดำเนินโครงการตามนโยบายของรัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล หลังประเมินว่าในไตรมาสที่ 4 เศรษฐกิจมีความเสี่ยงที่จะติดลบ จึงจัดทำโครงการนี้ขึ้นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

โครงการคนละครึ่งพลัสมีเป้าหมายช่วยเหลือประชาชนจำนวน 20 ล้านคน เพื่อบรรเทาค่าครองชีพและเพิ่มรายได้ให้ผู้ประกอบการรายย่อย โดยผู้ที่อยู่ในระบบภาษีจะได้รับเงินสนับสนุนคนละ 2,400 บาท ส่วนผู้ที่อยู่นอกระบบภาษีจะได้รับคนละ 2,000 บาท ทั้งนี้โครงการคนละครึ่งพลัสจะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยไม่ให้ถดถอย
สำหรับความแตกต่างจากโครงการคนละครึ่งในรอบที่ผ่านมา มีการขยายสิทธิให้ประชาชนที่มีอายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไปเข้าร่วมได้ จากเดิมที่จำกัดอายุ 18 ปี พร้อมเพิ่มวงเงินสบทบจากเดิม 150 บาทต่อวันเป็น 200 บาทต่อวัน อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการรายย่อยที่มีรายได้ไม่เกินปีละ 1.8 ล้านบาทเข้าร่วมโครงการได้ด้วย ซึ่งทั้งหมดเป็นไปตามแนวนโยบายของรัฐบาล
งบประมาณที่ใช้ในโครงการนี้มาจากงบที่รัฐบาลเคยอนุมัติไว้แล้วจำนวน 25,000 ล้านบาท และใช้งบกลางเพิ่มเติมอีก 19,000 ล้านบาท รวมเป็น 44,000 ล้านบาท โดยเป็นส่วนที่รัฐบาลสนับสนุนครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งมาจากการใช้จ่ายของประชาชน คิดเป็นเงินหมุนเวียนรวม 88,000 ล้านบาท และเมื่อรวมกับงบสวัสดิการแห่งรัฐที่เพิ่มอีก 23,000 ล้านบาท จะมีเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจรวมราว 100,000 ล้านบาท คาดว่าจะช่วยกระตุ้นจีดีพีได้ร้อยละ 0.3-0.4
โดยจะเปิดให้ร้านค้าลงทะเบียนวันที่ 15 ต.ค. ให้ประชาชนลงทะเบียนวันที่ 20-26 ต.ค. และเริ่มโครงการวันที่ 29 ต.ค.68 ถึงวันที่ 31 ธ.ค.68
ด้านนายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า สำหรับคนไม่มีสมาร์ทโฟน รัฐบาลทำ 2 โครงการควบคู่กัน ทั้งคนละครึ่งพลัส และเติมเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้อีกคนละ 1,700 บาท รวมกับเงินที่รับอยู่แล้ว 300 บาท ทำให้กลุ่มบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจะได้เงิน 2,000 บาท
โดยกลุ่มคนไม่มีสมาร์ทโฟน ส่วนใหญ่จะอยู่ในกลุ่มบัตรสวัสดิการแห่งรัฐอยู่แล้ว ซึ่งทำให้ครอบคลุมทั้งหมด โดยคนได้รับสิทธิบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จะไม่ได้สิทธิคนละครึ่งพลัส
เมื่อถามถึงคนไม่มีสมาร์ทโฟนและบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ นายลวรณ กล่าวว่า ตอนนี้คงไม่ได้ โดยอยากให้หาคนกลุ่มนี้มา และกระทรวงการคลังจะดำเนินการ