ช็กความเสี่ยงและวิธีป้องกันก่อนสาย แม้จะไม่ใช่ชื่อที่คุ้นหูเท่าไข้หวัดใหญ่หรือโควิด-19 แต่ ไวรัส RSV (Respiratory Syncytial Virus) คือ ภัยเงียบที่ร้ายแรงอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกับกลุ่มเสี่ยงอย่าง ผู้สูงอายุ และผู้ที่มี โรคประจำตัว เชื้อ RSV สามารถทำให้เกิดอาการ ปอดอักเสบรุนแรง จนถึงขั้นเสียชีวิตได้ ปัจจุบัน ยังไม่มี ยารักษาเฉพาะ เหมือนไวรัสอื่นๆ การป้องกันจึงเป็นหัวใจสำคัญที่สุด ก่อนที่อาการจะหนักจนเกินแก้ไข
อาการเริ่มต้นคล้ายหวัดธรรมดา: ไวรัสส่วนใหญ่รวมถึง RSV มักมีอาการเริ่มต้นคล้ายไข้หวัดธรรมดา (น้ำมูกไหล ไอ เจ็บคอ) ทำให้คนส่วนใหญ่มักซื้อยากินเอง แต่เมื่อเชื้อลงปอดจะเริ่มมีอาการหอบเหนื่อย ออกซิเจนต่ำ ซึ่งเป็นจุดที่ต้องเข้ารับการรักษาทันที
ผู้ใหญ่รุนแรงกว่าเด็ก 10 เท่า: แม้ RSV จะเป็นที่รู้จักในเด็กเล็ก (อายุน้อยกว่า 2 ปี) แต่ในกลุ่ม ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีโรคประจำตัว (หอบหืด, ถุงลมโป่งพอง, เบาหวาน, ตับ, ไต) จะมีอาการรุนแรงกว่าเด็กมาก
ความรุนแรง: ผู้ใหญ่ที่ติดเชื้อแล้วลงปอด มักจะต้องนอนโรงพยาบาล ใช้เครื่องช่วยหายใจ เข้า ICU และ มีโอกาสเสียชีวิตมากกว่าเด็กถึง 10 เท่า
ภาวะแทรกซ้อนที่น่ากลัว: ในกลุ่มเสี่ยง โอกาสเกิดปอดอักเสบสูงถึง 3 ใน 4 และในกลุ่มที่ลงปอด มีโอกาสเสียชีวิตถึง 1 ใน 4 นอกจากนี้ ยังสามารถกระตุ้นให้เกิด กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ได้ด้วย ซึ่งความเสี่ยงในการเสียชีวิต มากกว่าไข้หวัดใหญ่ถึง 4 เท่า
ช่วงเวลาการระบาดและวิธีป้องกันที่ดีที่สุด
1. ช่วงระบาดและวิธีการแพร่เชื้อ ช่วงเวลา: ตามข้อมูลมักระบาดคู่ไปกับไข้หวัดใหญ่ คือช่วง กรกฎาคม ถึง พฤศจิกายน (ฝนถึงหนาว) แต่ในปัจจุบันพบการระบาดได้ตลอดทั้งปี
การแพร่เชื้อ: ติดต่อง่ายมาก โดยเชื้อออกมาทางลมหายใจ ไอ จาม และสามารถอยู่บนข้าวของเครื่องใช้ หรือบนมือได้นาน หลายชั่วโมงถึงเป็นวัน การอยู่ในห้องแอร์ที่อากาศไม่ถ่ายเทยิ่งทำให้ติดง่าย
2. คำแนะนำและการฉีดวัคซีน การดูแลเบื้องต้น: ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง (อาหาร อากาศ ออกกำลังกาย พักผ่อน) หลีกเลี่ยง การอยู่ใกล้ชิดกับคนที่มีอาการหวัด ล้างมือบ่อยๆ และ สวมหน้ากากอนามัย