ภายหลังรัฐบาลภายใต้การนำของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ประกาศเดินหน้าโครงการ คนละครึ่งพลัส หรือ คนละครึ่งรอบใหม่ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น ล่าสุด นายอนุทินได้ยืนยันว่า โครงการดังกล่าวถือเป็นมาตรการที่มีประโยชน์ต่อประชาชน เพราะเป็นการร่วมจ่ายระหว่างรัฐและประชาชน ช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายในระบบเศรษฐกิจได้ทันที

นายกรัฐมนตรีระบุว่า รัฐบาลตั้งใจทำให้โครงการนี้เป็น แรงจูงใจ โดยเฉพาะกับกลุ่มผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ซึ่งจะได้รับสิทธิในสัดส่วน รัฐช่วยจ่าย 60% และประชาชนจ่าย 40% หรือรูปแบบ 60/40 ขณะที่ประชาชนทั่วไปจะยังคงได้รับสิทธิในลักษณะ 50/50 ตามเดิม
ทั้งนี้ รัฐบาลมั่นใจว่าโครงการจะช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว แม้รัฐบาลมีเวลาไม่มาก แต่จะเร่งดำเนินการทุกมาตรการที่ค้างอยู่ให้เกิดผลโดยเร็วที่สุด พร้อมย้ำว่าปัญหาการเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยไม่เป็นอุปสรรค เนื่องจากพรรคร่วมต่างสนับสนุนนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศ

สำหรับเงื่อนไขโครงการที่ผ่านมา ประชาชนที่เข้าร่วมจะได้รับสิทธิรัฐช่วยจ่าย 50% สำหรับค่าอาหาร เครื่องดื่ม สินค้าทั่วไป และค่าบริการ เช่น นวด สปา ทำผม ทำเล็บ รวมถึงค่าขนส่งสาธารณะ แต่ไม่ครอบคลุมสลากกินแบ่ง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และยาสูบ โดยใช้สิทธิผ่านแอปฯ เป๋าตัง จำกัดสิทธิไม่เกิน 150 บาทต่อวัน
คุณสมบัติของผู้ลงทะเบียนต้องมีอายุ 18 ปีขึ้นไป สัญชาติไทย และไม่เป็นผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ อย่างไรก็ตาม ในโครงการรอบใหม่นี้ รัฐบาลมีแนวทางแบ่งสิทธิออกเป็น 2 กลุ่มชัดเจน ได้แก่
1. ผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา รัฐช่วยจ่าย 60% และประชาชนจ่าย 40% คาดว่ามีผู้ได้รับสิทธิราว 11 ล้านคน
2. ประชาชนทั่วไปและผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ได้รับสิทธิรูปแบบ 50/50 โดยในกรณีบัตรสวัสดิการ หากสิทธิเดิมมี 300 บาท รัฐบาลจะเติมเพิ่มให้จนถึง 1,000 บาท เพื่อให้ไม่เสียเปรียบกลุ่มอื่น

ด้าน นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เปิดเผยเพิ่มเติมว่า มีการหารือแนวทางเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้ผู้ที่อยู่ในระบบภาษี โดยอาจได้รับวงเงินสูงสุด 1,200 บาทต่อคน จากเดิม 1,000 บาท ซึ่งยังต้องรอการพิจารณาด้านเทคนิค แต่ยืนยันว่าโครงการนี้จะดำเนินการจริง เนื่องจากรัฐบาลได้วางกรอบแนวทางปฏิบัติไว้แล้ว
ทั้งนี้ โครงการ คนละครึ่งพลัส ยังอยู่ในระหว่างการปรับปรุงรายละเอียดให้เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมปัจจุบัน โดยต้องรอความชัดเจนจากรัฐบาลอีกครั้งว่าจะมีการประกาศใช้เมื่อใด