ญี่ปุ่นวิจัย 82,000 คน เตือนถ้าไม่อยากเป็น “สโตรก” ตอนเช้าอย่าทำ “นิสัยไม่ดี” แบบนี้ ทำร้ายหัวใจและหลอดเลือด
การวิจัยจากมหาวิทยาลัยโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น (ตีพิมพ์ในวารสาร Stroke) พบความเชื่อมโยงระหว่างความถี่ในการรับประทานอาหารเช้าและความเสี่ยงโรคหัวใจหลอดเลือด โดยติดตามสุขภาพของชาวญี่ปุ่นกว่า 82,000 คน อายุ 45–74 ปี ที่ไม่มีประวัติโรคหัวใจหรือมะเร็ง ตั้งแต่ปี 1995–2010
ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า ผู้ที่มักงดอาหารเช้ามีความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมองและโรคหลอดเลือดหัวใจ สูงกว่าคนที่กินอาหารเช้าเป็นประจำอย่างมีนัยสำคัญ ในช่วงเวลา 15 ปี มีรายงานผู้ป่วย
- 3,754 รายเป็นโรคหลอดเลือดสมอง (1,051 รายเลือดออกในสมอง, 417 รายเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมอง, 2,286 รายขาดเลือดในสมอง)
- 870 รายเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ
นี่ถือเป็นการศึกษาขนาดใหญ่ครั้งแรกในเอเชียที่ชี้ถึงความสัมพันธ์ดังกล่าวอย่างชัดเจน
ทำไมงดอาหารเช้าจึงเพิ่มความเสี่ยง?
- ฮอร์โมนคอร์ติซอล: ปกติจะสูงขึ้นตอนเช้า ถ้าไม่กินอาหารเช้า อาจรบกวนวงจรคอร์ติซอล ทำให้ร่างกายตอบสนองเกินไป ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น
- ควบคุมระดับน้ำตาลแย่ลง: ไม่กินเช้าลดความไวต่ออินซูลิน เพิ่มภาวะอักเสบ ทำให้เสี่ยงโรคความดันและหลอดเลือดสมอง
- น้ำตาลในเลือดพุ่งหลังมื้อกลางวัน–เย็น ในคนที่งดอาหารเช้า ทำให้เพิ่มภาระให้หัวใจและหลอดเลือด
- กินชดเชยด้วยอาหารไม่ดี: มักหันไปทานอาหารแปรรูป เค็ม มันสูง ทำให้เพิ่มความเสี่ยงระยะยาว
ควรกินอาหารเช้าแบบไหน?
ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า เพื่อปกป้องหัวใจและลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมอง ควร รับประทานอาหารเช้าอย่างสมดุลทุกวัน โดยควรมี
- ธัญพืชไม่ขัดสี (whole grains)
- ผลไม้สด
- นมไขมันต่ำ
- ไขมันดีจากอะโวคาโด หรือถั่วและเมล็ดพืช

รูปแบบอาหาร DASH เน้นโพแทสเซียม แคลเซียม แมกนีเซียม ไฟเบอร์ และโซเดียมต่ำ เป็นแนวทางที่แพทย์หลายคนแนะนำ เพราะช่วยควบคุมความดันโลหิตได้ดี
ดร. Riple Hansalia จากศูนย์การแพทย์ Jersey Shore แนะนำว่า ควรรับประทานอาหารเช้า ภายใน 1-2 ชั่วโมงหลังตื่นนอน เพื่อคงสมดุลระดับน้ำตาลและคอร์ติซอล ช่วยลดภาระต่อหัวใจและลดโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดสมอง