โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ บัตรคนจน หลังได้คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ พร้อมแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ก็มีความคืบหน้าล่าสุด หลังก่อนหน้านี้เตรียมเปิดลงทะเบียนรายใหม่ แต่หยุดชะงักไป โดยนายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เตรียมจัดทำการปรับเกณฑ์ใหม่ ซึ่งรัฐบาลทราบถึงปัญหาว่ามีกลุ่มคนจนไม่จริง ก็ต้องพิจารณาหลักเกณฑ์คุณสมบัติกันอีกครั้ง แต่ย้ำว่า รัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีระกูล ยังคงเดินหน้าเพื่อให้การลงทะเบียนรอบใหม่เกิดขึ้น
ทั้งนี้ รัฐบาลได้ดำเนินการบางส่วนแล้ว เช่น การเติมเงินให้กับผู้ที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 13.4 ล้านคนรายเดิม เพื่อช่วยเหลือและบรรเทาค่าครองชีพ ให้เป็นเวลา 2 เดือน คือ พฤศจิกายน กับ ธันวาคม โดยอนุมัติให้เพิ่มอีกเดือนละ 850 บาท ดังนั้น จากเดิมที่ได้เดือนละ 300 บาท จะกลายเป็นเดือนละ 1,150 บาท โดยผู้ที่ถือบัตรฯ ไม่ต้องไปควักเงินเพิ่มเพื่อใช้จ่ายต่าง ๆ เหมือนโครงการ คนละครึ่ง เพราะเป็นผู้มีรายได้น้อย ซึ่งสิทธิประโยชน์เป็นไปตามเดิมทุกประการ ไม่มีอะไรเปลี่ยน เคยทำอะไรได้ก็ทำได้เหมือนเดิม หากถอนเงินสดได้ก็ถอน หากถอนไม่ได้ก็ไม่ได้

โดยในงวดเดือนตุลาคม 2568 นี้ ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จะยังได้รับเงินช่วยเหลือค่าครองชีพ เช่นเดิม จ่ายให้ตามไทม์ไลน์ดังนี้
วันที่ 1 ตุลาคม 2568 (เป็นวงเงินสิทธิไม่สามารถถอนเป็นเงินสดได้ และไม่สะสมในเดือนถัดไป)
วงเงินซื้อสินค้า 300 บาทต่อคนต่อเดือน
วงเงินส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้ม 80 บาทต่อคนต่อ 3 เดือน (ต.ค. – ธ.ค. 68)
วงเงินค่าเดินทางผ่านระบบขนส่งสาธารณะ 750 บาทต่อคนต่อเดือน
(ประกอบด้วย บขส. รถไฟ ขสมก. รถไฟฟ้า และรถโดยสารเอกชนที่เข้าร่วมโครงการ)
วันที่ 20 ตุลาคม 2568
เงินเพิ่มเบี้ยความพิการ 200 บาทต่อเดือน
สำหรับผู้มีสิทธิที่เป็นคนพิการ ซึ่งมีบัตรประจำตัวคนพิการและได้รับเบี้ยความพิการ 800 บาทต่อเดือน (โอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารที่ผูกพร้อมเพย์ด้วยเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก ของผู้มีสิทธิ หรือบัญชีเงินฝากธนาคารของผู้มีสิทธิหรือผู้รับมอบอำนาจที่ใช้รับเงินเบี้ยความพิการ 800 บาท)
วันที่ 24 ตุลาคม 2568
เงินสงเคราะห์เพื่อการยังชีพแก่ผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยที่ได้รับสิทธิในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2565 รอบแก้ไขรายการที่โอนเงินไม่สำเร็จ ครั้งที่ 1 ในอัตรา 100 บาทต่อเดือน เป็นระยะเวลา 8 เดือน (เดือนกุมภาพันธ์ – กันยายน) ตามเดือนที่ได้รับสิทธิกำหนดโอน แบ่งกลุ่มตามวันเดือนปีเกิด
โดยจะโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารที่ผู้มีสิทธิแจ้งตามหนังสือยินยอมโอนเงินสวัสดิการเข้าบัญชีร่วมกับบุคคลอื่นหรือบัญชีบุคคลอื่น หรือโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารที่ผูกพร้อมเพย์ด้วยเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก ของผู้มีสิทธิ
ดังนั้นผู้ที่รอลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่ ต้องรอฟังความชัดเจนอีกครั้ง ว่ากระทรวงการคลังจะใช้หลักเกณฑ์ใดบ้าง คัดคนจนตัวจริง ซึ่งปัจจุบันหลักเกณฑ์ที่ใช้คัดคุณสมบัติผู้มีสิทธิมีอะไรบ้าง มาทบทวนกัน
คุณสมบัติผู้ลงทะเบียน บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ตามเกณฑ์เดิม 2565 ที่ได้กำหนดก่อนหน้านี้ คือ
1.สัญชาติไทย อายุ 18 ปีขึ้นไป
2.รายได้ไม่เกิน 100,000 บาท/คน/ปี
3.รายได้เฉลี่ยครอบครัวไม่เกิน 100,000 บาท/คน/ปี
4.มีทรัพย์สิน : เงินฝาก สลาก พันธบัตร และตราสารหนี้ภาครัฐ ไม่เกิน 100,000 บาท/คน
5.ไม่มีกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์(ตามที่กำหนด)
6.ต้องไม่มีบัตรเครดิต
7.มีวงเงินกู้ ที่อยู่อาศัยรวมไม่เกิน 1.5 ล้านบาท และ/หรือ วงเงินกู้ ยานพาหนะรวมไม่เกิน 1 ล้านบาท เป็นต้น
ขณะที่ก่อนหน้านี้ รัฐบาลแพทองธาร ได้เคยมีแนวทางเกี่ยวกับกำหนดคุณสมบัติที่จะเพิ่มเติมมาคือ เพิ่มการตรวจสอบคุณสมบัติของครอบครัว โดยเฉพาะเรื่องรายได้ เช่น กรณีผู้ลงทะเบียน เป็นแม่บ้าน ไม่มีรายได้จากการทำงาน แต่หากสามี-มีรายได้หรือทรัพย์สินที่สามารถดูแลได้ทั้งครัวเรือน โดยนำรายได้มาหารเฉลี่ยต่อหัวของคนในครอบครัวแล้ว ยังเกินเส้นที่กระทรวงการคลังตั้งขึ้น รายได้ 1 แสนบาทต่อคนต่อปี ผู้ลงทะเบียนที่เป็นแม่บ้านก็จะไม่ผ่านเกณฑ์
อย่างไรก็ตาม ต้องมารอความชัดเจนอีกครั้งว่า คณะรัฐมนตรีชุดปัจจุบัน จะเห็นชอบอนุมัติในแนวทางใด ขอให้ประชาชนติดตามข้อมูลที่ถูกต้องจากหน่วยงานของรัฐ หรือหากมีข้อสงสัย สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Call Center ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 0 2109 2345 หรือ Call Center กรมบัญชีกลาง 0 2270 6400 ในวัน-เวลาราชการ