พ่อแม่เศร้าพาลูกไปรักษาตัวด้วยอาการไข้ ลูกชัก กระตุก อยู่นานในห้องฉุกเฉิน แต่กลับไม่มีแพทย์ หรือ พยาบาล เหลียวแล สุดท้าย ลูกต้องเสียชีวิตลง.!!

วันที่ 8 ตุลาคม 2568 นายอนุชา อายุ 33 ปีและ น.ส.วรารัตน์ อายุ 36 ปี บิดามารดาของน้องสตั๊น อายุ 7 ขวบ ร้องเรียนต่อสื่อมวลชน หลังพาบุตรชายไปรักษาตัวด้วยอาการไข้ ตัวเย็น ชักเกร็ง ก่อนจะเสียชีวิตหลังเข้ารับการรักษาที่รพ.ทั้งเอกชน และรัฐบาล ได้เพียงไม่กี่ชั่วโมง ทำให้ตนเองติดใจในการรักษา เพราะบุตรชายตนเองนอนดูอาการใน รพ.ด้วยอาการร่างกายกระตุก แต่กับไม่มีแพทย์ หรือ พยาบาลเข้าไปดูอาการ ก่อนจะเสียชีวิตในเวลาต่อมา

นายอนุชา พ่อของเด็กชายวัย 7 ขวบ เปิดเผยว่า ลูกชายมีอาการไข้มาแล้ว 1 วัน ตนเองก็ให้ยากินตามอาการอาการก็ดีขึ้น กระทั่งเย็นวันที่ 7 ตุลาคม2568 ตนเองดูลูกไม่ร่าเริง ก่อนจะถ่ายอุจจาระแล้วมีอาการชักเกร็ง ก่อนจะนำลูกไป ร.พ.เอกชน ในเวลา 19.00 น.เศษ ซึ่งรพ.นี้ตั้งอยู่ในเขต อ.คลองหลวง พอไปถึงได้พาลูกเข้าห้องฉุกเฉิน ก่อนจะทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้น ก่อนที่จะมีเจ้าหน้าที่มาติดต่อว่าน้องอาจจะต้องนอน รพ. เพื่อดูอาการ 1 คืน เพราะผู้ป่วยมีอาการชัก ตนเองจึงถามไปว่าค่าบริการเท่าไหร่ ทางเจ้าหน้าที่ตอบกลับมาว่า 5-6 พันบาท ตนเองจึงถามว่าหากลูกชายอาการไม่หนัก ตนเองขอรับลูกชายกลับไปรักษาตามสิทธิ์ได้หรือไม่ ก่อนที่จะมีเจ้าหน้าที่ออกมาวัดไข้ โดยพบว่าไข้อยู่ที่ 36 องศาเซลเซียส คือ ไม่มีไข้ แต่ตัวเย็นโดยตอนนั้นลูกชายตนเองมีสติ ถามตอบรู้เรื่อง แต่อาจจะช้าบ้าง ตนเองจึงถามไปว่า หากลูกอาการดีขอย้ายไปใช้สิทธิ์ที่รพ.ของรัฐบาล เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายในการรักษา โดยเจ้าหน้าที่ก็บอกว่าสามารถย้ายได้ตนเองจึงทำการเคลื่อนย้าย

จากนั้น ตนเองได้ย้ายลูก ไปถึง รพ.รัฐ แห่งหนึ่งในเขต อ.สามโคก เวลาประมาณ 20.00น.เศษ เมื่อไปถึงก็ทำการซักประวัติ เพราะเคยเข้าใช้บริการครั้งแรก จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้นำลูกชายเข้าห้องฉุกเฉิน ก่อนที่จะมีการเรียกตนเองเข้าไป เพราะน้องถ่ายอุจจาระ ให้ตนเองไปซื้อผ้าอ้อมสำเร็จรูป และกระดาษเปียก เพื่อเข้าไปทำความสะอาด ตนเองจะอยู่กับลูกตลอด ตอนนั้นลูกตนเองมีอาการกระตุกตลอดเวลา คล้ายจะชักเหม่อลอย ตาลอย ตนเองจึงถามหมอว่า หมอครับลูกผมเป็นอะไร ลูกผมจะชักหรือป่าว จากนั้นหมอก็ลุกขึ้นจากโต๊ะซักประวัติมาดู และบอกว่าก็ไม่เห็นเป็นอะไร ยังพูดได้อยู่เลย ตนเองจำได้ว่าคนที่พูด คือ คนซักประวัติเป็นผู้หญิง ใส่ชุดสีกลมท่า ตนเองก็ไม่ได้ว่าอะไร คิดว่าคงจะประเมินได้ จากนั้นผลเลือดออก และลูกถูกพาออกไปเอ็กซเรย์เข้ามา

โดยทางเจ้าหน้าที่แจ้งว่าผลเลือดปกติ แต่เม็ดเลือดขาวสูง ตนเองก็ยังงงว่า คำว่าปกติ แต่ทำไมเม็ดเลือกขาวสูง ตนเองสงสัยในจุดนี้ ตนเองถามว่าปกติได้อย่างไรเจ้าหน้าที่บอกว่า ไม่เป็นไรเดี๋ยวน้องก็ดีขึ้นแล้ว ตนเองก็ไม่ได้อะไร เพราะเขาเป็นเจ้าหน้าที่คงประเมินได้ จากนั้นก็รออยู่อีก 2 ชม.ก็ย้ายไปที่ห้องพักฟื้น โดยขณะที่เข็นออกมา ลูกชายตนเองมีอาการกระตุก คล้ายจะชัก 2 ครั้ง ตนเองจึงถามเวรเปลผู้หญิงว่า ลูกตนเองจะชักหรือไม่ เจ้าหน้าที่บอกว่า เป็นผลข้างเคียงจากที่น้องชักมา โดยมีอาการเหม่อ กระตุก ตนเองสังเกตว่า ดูรู้เลยว่าลูกตนเองไม่ไหว ตอนที่อยู่ในห้องฉุกเฉิน ลูกก็ได้เพียงรับน้ำเกลือไม่ได้มาดูอะไรเลย ไม่มีการฉีดยา เพราะตอนนั้นตนเองอยู่กับลูกตลอด จากนั้นย้ายไปห้องพักฟื้นประมาณ 10 นาที ก็มีการวัดความดันวัดชีพจร แต่ลูกชายตนเองตัวเย็น ทำให้ไม่สามารถวัดค่าได้ ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะนำผ้ามาคลุมขา เพื่อจะให้สามารถตรวจค่าต่างๆให้ได้ แต่ก็ไม่ขึ้น ก่อนที่จะสามารถตรวจได้ในเวลาต่อมา

หลังจากที่เจ้าหน้าที่ รพ.ออกไป ได้ประมาณ 5 นาที ลูกชายตนเองบ่นหิวน้ำ จึงลุกขึ้นมาดื่มน้ำ ตนเองจึงให้กินไป 2 อึกก่อนที่จะนอนลงไป คว่ำหน้าก่อนที่จะหายใจ 2 เฮือกใหญ่ๆ คล้ายจะไม่ไหว ตนเองยังถามลูกชายว่าไหวไหมเดี๋ยวเราได้กลับบ้านกัน ก่อนที่ลูกจะหันหน้าหนี ไปมองที่ย่าที่อยู่ข้างเตียงอีกฝั่งหน้า ก่อนที่ลูกชายตนเองจะชัก ตนเองจึงออกไปเรียกพยาบาลว่าเ ด็กชักๆ ก่อนที่จะมีพยาบาลเปิดประตูเข้ามามอง ตนเองจึงบอกว่าเข้ามาดูก่อนไหมครับเด็กชัก จากนั้นจึงวิ่งออกไปเรียกเจ้าหน้าที่มา 7-8 คน แต่ไม่มีหมอ และตนเองสังเกตว่า มีการบอกอาการกับหมอทางโทรศัพท์ว่าควรทำอย่างไรปฏิบัติอย่างไรกับผู้ป่วย ตอนนั้นตนเองอยู่กับลูกตลอดเวลา หลังจากนั้นก็มีการปั๊มหัวใจอยู่ประมาณ 1 ชม.เศษ ก่อนที่ลูกชายตนเองจะเสียชีวิต โดยแพทย์ลงความเห็นว่า ลูกชายตนเองเสียขีวิต จากโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธ์เอ

สิ่งที่ตนเองติดใจคือ 2 ชม.ที่ลูกตนเองนอนรออยู่ในห้องฉุกเฉิน ก่อนจะทราบว่าผลเลือดปกติ แต่เม็ดเลือดขาวสูง คือ อะไรทำไมปล่อยให้เด็กอยู่แบบนั้น ขณะที่ เด็กนอนอยู่บนเตียง เด็กมีอาการแบบไหนไม่เข้ามาดูตนเอง อยู่กับลูกตลอดเวลา โดยลูกบิดปวดตัวตลอดเวลา ถึงขณะที่ลูกชายตนเองตัวกระตุก ก็ยังไม่มีใครเข้ามาดู ไม่คิดว่ามาถึงโรงพยาบาลใกล้มือหมอแล้วจะเกิดเหตุเช่นนี้ อยากให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้ามาดูแลแก้ไข เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้กับผู้ป่วยรายอื่นอีก โรงพยาบาลควรที่จะมีหมอรอผู้ป่วย เพราะเป็นโรงพยาบาลไม่ใช่คลินิคควรจะมีหมอ หรือ หากไม่พร้อม ควรส่งตัวลูกตนเองไปยัง รพ.ที่มีความพร้อมมากกว่านี้ หลังจากแพทย์ลงสาเหตุการเสียชีวิตแล้วว่า ด้วยโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธ์เอ ตนเองก็ไม่ได้ให้นำศพไปผ่า เพราะไม่อยากให้ลูกต้องถูกผ่าอีก จึงขอรับศพลลูกกลับมาประกอบพิธีทางศาสนา

Scroll to Top