“โฆษก ทบ.”ปรับทัศนคติ”กัมพูชา” ไทยบังคับใช้กฎหมายเขตอธิปไตย ยกภาพถ่ายทางอากาศ ชี้สร้างชุมชนรุกล้ำ-ประท้วง 500 ครั้ง แต่เมินเฉย ขนมวลชนมาป่วน ย้ำไทยใช้ความอดทนอดกลั้นขั้นสูงสุด
เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2568 จากการที่กระทรวงการต่างประเทศของกัมพูชา ได้แถลงการณ์ตอบโต้ฝ่ายไทย เมื่อวันที่ 24 ก.ย.68 กรณีที่ชาวกัมพูชาขยายชุมชนบุกรุกเข้าไปในเขตไทย ณ พื้นที่บ้านหนองจาน และบ้านหนองหญ้าแก้ว จ.สระแก้ว นั้น

ล่าสุด พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ได้กล่าวว่า ต่อกรณีดังกล่าวกระทรวงการต่างประเทศของไทย ได้ออกมาแถลงการณ์ให้ข้อมูลข่าวสารอย่างชัดเจนต่อคำแถลงการณ์ของฝ่ายกัมพูชาที่มีข้อมูลในลักษณะบิดเบือนในหลายประการ จึงขอเรียนชี้แจงย้ำอีกครั้ง เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องต่อสังคม
ขอยืนยันว่า ไทยใช้กฎหมายภายในของไทยกับบุคคลที่อยู่ในพื้นที่ เขตแดนไทย ไม่ใช่พื้นที่อ้างสิทธิ์อย่างที่กัมพูชาบิดเบือน ซึ่งถูกต้องตามหลักอธิปไตยของรัฐและหลักสากล เมื่อมีชุมชนกัมพูชารุกล้ำเข้ามา ซึ่งไทยได้ประท้วงผ่าน MOU แล้วหลายครั้ง ดังนั้นการดำเนินการตามกฎหมายจึงเป็นสิ่งที่ถูกต้อง และตลอดห้วงเวลาการหยุดยิง ประเทศไทยได้ปฏิบัติมาตรการอย่างเคร่งครัด แต่กลับเป็นฝ่ายกัมพูชาที่ปลุกปั่นประชาชนเข้ามาประท้วง ถือเป็นการยั่วยุ และละเมิดต่อกฎหมายไทยในหลายมาตรา
ส่วนข้อกล่าวอ้างที่ระบุว่า ชาวกัมพูชาอยู่ในพื้นที่ของหมู่บ้านเปรยจัน ตำบลโอเบยโจน จังหวัดบันเตียเมียนเจย ก่อนลงนาม MOU 2000 ที่ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะคงสถานะเดิมไว้จนกว่างานกำหนดเขตแดนจะเสร็จสมบูรณ์ นั้น พลตรีวินธัย กล่าวว่า การกล่าวอ้างดังกล่าวปราศจากหลักฐานอ้างอิง จากการตรวจสอบภาพถ่ายทางอากาศในหลายห้วงเวลา พบว่ามีการสร้างชุมชนรุกล้ำประเทศไทย ละเมิด MOU 2000 ซึ่งไทยได้ประท้วงมาอย่างต่อเนื่อง แต่กลับเป็นฝ่ายกัมพูชาที่ไม่แก้ไขและยังขยายพื้นที่เพิ่ม
อีกทั้งมูลเหตุแห่งความขัดแย้งในพื้นที่ดังกล่าวเกิดจากฝ่ายกัมพูชา สร้างชุมชน รุกล้ำดินแดนอธิปไตยของไทย ซึ่งฝ่ายไทยได้ประท้วงแต่กัมพูชาไม่แก้ไข จึงควรเป็นฝ่ายไทยที่เรียกร้องต่อการละเมิด ทั้งนี้ การรุกล้ำและการประท้วงโดยใช้สิ่งเทียมอาวุธของชาวบ้านกัมพูชา เป็นการกระทำที่พิสูจน์ทราบว่า มีเจ้าหน้าที่กัมพูชาให้การสนับสนุน ดังนั้น เจ้าหน้าที่ไทยจึงจำเป็นต้องดูแลควบคุมความสงบเรียบร้อยตามหลักสากล

พลตรี วินธัย ยังตอบโต้ กรณีฝ่ายกัมพูชา ชี้ให้ดูจากเส้นตรงที่บิดเบือนไปจากภาพอินโฟกราฟิกที่ฝ่ายไทยนำเสนอ คนไทยได้ครอบครองและทำการเกษตรบนพื้นที่หลายเฮกตาร์ที่ตั้งอยู่บนพรมแดนฝั่งกัมพูชามาเป็นเวลานานหลายปี ว่า พิกัดเส้นตรงจากภาพอินโฟกราฟิกที่ฝ่ายไทยนำเสนอ ไม่เคยระบุยืนยันว่าแผนผังดังกล่าวกำหนดเส้นเขตแดน เพราะการเจรจาเรื่องเส้นเขตแดนอยู่ภายใต้อาณัติของกลไกคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม หรือ JBC ทั้งนี้ แผนผังที่ฝ่ายไทยนำแสดงดังกล่าว เป็นเพียงการนำพิกัดหลักเขตแดนไปทำภาพจำลองเส้นเขตแดนบนแผนที่แบบไม่เป็นทางการเท่านั้น เพื่อความเข้าใจของประชาชนทั่วไป และจากหลักฐานดังกล่าวพบการรุกล้ำพื้นที่ของฝ่ายกัมพูชาอย่างชัดเจน
พลตรี วินธัย ปฏิเสธข้อเรียกร้องกัมพูชา ที่ให้ฝ่ายไทยแก้ไขปัญหาพื้นที่พิพาทนี้ผ่านคณะกรรมา JBC แทนการบังคับใช้กฎหมายและอำนาจอธิปไตยของไทยด้วยกำลัง รวมถึงการบังคับขับไล่ชาวบ้านกัมพูชาออกไป เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวไม่ใช่พื้นที่พิพาทหรือพื้นที่อ้างสิทธิตาม MOU 2000 แต่เป็นเขตแดนไทยที่ชัดเจน เมื่อเป็นเช่นนั้น จึงไม่จำเป็นต้องใช้กลไก JBC แก้ไขปัญหา ทั้งนี้ ไทยได้ปฏิบัติตามกลไก JBC และ MOU 2000 มาโดยตลอด พร้อมยืนยันว่า ฝ่ายไทยไม่มีแนวคิดหรือพฤติกรรมรุกล้ำเส้นเขตแดนกัมพูชาตามที่กล่าวอ้าง กลับเป็นฝ่ายไทยที่ถูกกัมพูชารุกล้ำละเมิด MOU ต่อเนื่อง ปล่อยให้มีการสร้างอาคาร สถานที่ บ้านเรือน และชุมชน ทั้งในเขตพื้นที่ที่ต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์ และในเขตที่เป็นอธิปไตยของไทย ซึ่งฝ่ายไทยได้ทำการประท้วงในกรอบ MOU แล้วกว่า 500 ครั้ง ในห้วง 20 ปีที่ผ่านมา แต่ฝ่ายกัมพูชากลับเพิกเฉยและไม่ยอมแก้ไข
อีกทั้งฝ่ายไทยยึดหลักการทำงานตามกรอบ JBC และ MOU 2000 เสมอมา แต่การที่กัมพูชาไม่แก้ไขปัญหาการสร้างสิ่งก่อสร้างรุกล้ำ กลับเป็นสิ่งที่ฉุดรั้งกระบวนการของ JBC อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และสะท้อนถึงความไม่จริงใจในการแก้ไขปัญหาเขตแดนร่วมกัน
พลตรี วินธัย ย้ำว่า การอ้างของกัมพูชาถึงความมุ่งมั่นต่อเงื่อนไขการหยุดยิงตาม GBC นั้น ขัดแย้งต่อหลักฐานที่กองทัพบกตรวจพบ ไม่ว่าจะเป็นการวางทุ่นระเบิด การเคลื่อนกำลัง และการใช้โดรนสอดแนมในพื้นที่ เป็นผู้สนับสนุน ปลุกปั่น และจัดฉากให้ประชาชนกัมพูชาออกมาชุมนุมประท้วงด้วยท่าทีที่ก้าวร้าว ก่อความไม่สงบในดินแดนไทย และใช้ความรุนแรงกับเจ้าหน้าที่ตำรวจไทย จนมีเจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บจำนวนหลายราย ไทยมุ่งมั่นปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด โดยใช้ความอดทนอดกลั้นขั้นสูงสุดมาโดยตลอด การปฏิบัติของทางการไทยทุกครั้งเป็นไปเพื่อป้องกันตนเอง รักษาอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดน และประกันความปลอดภัยให้แก่พี่น้องประชาชน
ฝ่ายไทยขอยืนยันความมุ่งมั่นต่อมาตรการหยุดยิง ตามที่ประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา (GBC) เมื่อ 7 ส.ค.68 และ 10 ก.ย.68 ได้มีมติร่วมกัน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่ากัมพูชาจะปฏิบัติตามมาตรการดังกล่าวด้วยความจริงใจและสำนึกในความรับผิดชอบร่วมกัน