วันที่ 12 กันยายน 2568 มูลนิธิผสานวัฒนธรรมเปิดเผยว่า ในวันที่ 15 กันยายน 2568 เวลา 09.30 น. ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ภาค 5 จะนัดฟังคำสั่งจาก คณะกรรมการชี้ขาดเขตอำนาจศาล เพื่อวินิจฉัยว่า คดีการเสียชีวิตของ พลทหารกิตติธร เวียงบรรพต จะอยู่ในอำนาจของ ศาลพลเรือน หรือ ศาลทหาร

คดีนี้เกี่ยวข้องกับ ครูฝึกทหารใหม่ 2 นาย ซึ่งถูกฟ้องในข้อหาร่วมกันกระทำการโหดร้าย ปราศจากมนุษยธรรม ละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ตาม มาตรา 6 ของ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565
แม้ว่าการสืบพยานในศาลพลเรือนจะเสร็จสิ้นตั้งแต่เดือนมกราคม 2568 แต่จำเลยได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลส่งคดีกลับไปพิจารณาในศาลทหาร ซึ่งต่อมาศาลทั้งสองแห่งมีความเห็นไม่ตรงกันในเรื่องเขตอำนาจ ทำให้ต้องเสนอเรื่องให้ คณะกรรมการชี้ขาดเขตอำนาจศาล เป็นผู้ตัดสิน โดยคำสั่งที่จะออกมานี้จะถือเป็นที่สุด
เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อ เดือนกรกฎาคม 2566 ขณะพลทหารกิตติธร ซึ่งเป็นทหารเกณฑ์ผลัดที่ 1/66 ประจำการที่ ค่ายเม็งรายมหาราช จ.เชียงราย ล้มป่วยหนัก แต่ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ารักษาในโรงพยาบาล แม้ภรรยาของเขาจะร้องขออย่างหนักแน่น กระทั่งถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลในช่วงวันที่ 14-15 กรกฎาคม แต่สุดท้ายเสียชีวิตในวันที่ 16 กรกฎาคม ด้วยอาการติดเชื้อในกระแสเลือด

ต่อมาในวันที่ 9 ธันวาคม 2566 พนักงานอัยการมีคำสั่งฟ้อง ครูฝึก 2 นาย ยศร้อยโทและจ่าสิบโท ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบฝึกพลทหารกิตติธร ในข้อหาร่วมกันกระทำการโหดร้ายตามกฎหมายใหม่ว่าด้วยการทรมานและการสูญหาย โดยจำเลยทั้งสองให้การ ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา
แม้ครอบครัวจะได้รับเงินเยียวยาตามระเบียบของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ เป็นเงิน 250,000 บาท แต่การนำตัวผู้กระทำผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมยังคงล่าช้า โดยเฉพาะในประเด็นที่ยังไม่มีการวินิจฉัยแน่ชัดว่า ศาลใดมีอำนาจพิจารณาคดี
มูลนิธิผสานวัฒนธรรมจึงขอเชิญชวน สื่อมวลชนและประชาชน ร่วมติดตามการฟังคำสั่งในวันที่ 15 กันยายนนี้ เพื่อร่วมกันจับตาว่าครอบครัวของพลทหารกิตติธรจะได้รับความยุติธรรมตามครรลองของกฎหมายหรือไม่
กรณีนี้เป็นบททดสอบสำคัญของกระบวนการยุติธรรมไทย ว่าจะสามารถนำผู้กระทำความผิดมารับโทษ และยุติวัฒนธรรมการลอยนวลของเจ้าหน้าที่รัฐได้จริงหรือไม่ มูลนิธิฯ ระบุ
มูลนิธิยังย้ำว่า การตัดสินเขตอำนาจศาลอย่างโปร่งใสและยุติธรรม จะเป็นก้าวแรกในการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่สังคม และป้องกันไม่ให้โศกนาฏกรรมเช่นนี้เกิดขึ้นซ้ำอีกกับทหารเกณฑ์คนใดในอนาคต