วิโรจน์ เผยเบื้องหลัง ปชน.เลือกภท.-ไม่เลือกพท.

เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2568 นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.พรรคประชาชน โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว แสดงจุดยืนและเปิดเผยความลำบากใจในการตัดสินใจทางการเมืองท่ามกลางภาวะที่ประเทศต้องการรัฐบาลใหม่ พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า ไม่ว่าการเมืองจะพาไปทางฝ่ายแดงหรือฝ่ายน้ำเงิน ล้วนแล้วแต่มีความเสี่ยงที่จะ ถูกหักหลัง ทั้งสิ้น

นายวิโรจน์เริ่มต้นด้วยการอธิบายสมการทางการเมืองในสภาเวลานี้ว่า ฝ่ายแดงมี 210 เสียง ฝ่ายน้ำเงิน 140 เสียง และฝ่ายส้ม 142 เสียง โดยการจัดตั้งรัฐบาลต้องมีเสียงเกินครึ่ง คือ 247 เสียง จึงไม่อาจตั้งรัฐบาลได้โดยลำพัง

เขาย้ำว่า จุดยืนของพรรคประชาชนยังคงเดิม นั่นคือการ ยุบสภา คืนอำนาจให้ประชาชน และผลักดัน ประชามติแก้รัฐธรรมนูญ เพื่อให้ได้รัฐบาลที่ชอบธรรม เข้มแข็ง และมาจากเจตจำนงของประชาชนอย่างแท้จริง

อย่างไรก็ตาม ในการตัดสินใจว่าจะโหวตให้ฝ่ายใด นายวิโรจน์ระบุว่า ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะทั้งฝ่ายแดงและฝ่ายน้ำเงินต่างมีข้อครหาและประวัติการตระบัดสัตย์มาก่อนทั้งสิ้น

นายวิโรจน์ชี้ว่า หากเลือกฝ่ายน้ำเงิน มีความเสี่ยงว่าฝ่ายน้ำเงินจะ ไม่ทำตามสัญญา ที่ให้ไว้ว่าจะยุบสภาหลังจากบริหารประเทศ 4 เดือน เพราะอาจมีการร้องเรื่องคุณสมบัตินายกฯ แล้วศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยโดยไม่สั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งจะส่งผลให้การยุบสภากลายเป็นปัญหาทางกฎหมาย

นอกจากนี้ การผลักดันให้มีประชามติแก้รัฐธรรมนูญก็อาจติดขัด หากศาลออกคำวินิจฉัยที่กำกวมในวันที่ 10 กันยายน 2568

เขายังเตือนด้วยว่า ฝ่ายน้ำเงินได้ประโยชน์โดยตรงจากรัฐธรรมนูญปี 2560 ทั้งในแง่จำนวน ส.ส. ที่เพิ่มขึ้น และอิทธิพลจาก ส.ว. ทำให้มีแรงจูงใจต่ำในการแก้รัฐธรรมนูญ และไม่มีแรงกดดันเพียงพอให้ยุบสภา

แม้จะมีแนวทาง อภิปรายไม่ไว้วางใจ เพื่อกดดัน หากฝ่ายน้ำเงินไม่ทำตามสัญญา แต่นั่นก็ต้องแลกกับความวุ่นวายทางการเมือง และอาจถูกมองว่าเป็นเกมวางกับดักซ้อนอีกชั้น

ในอีกด้านหนึ่ง หากเลือกฝ่ายแดง ซึ่งประกาศว่าจะยุบสภาทันที นายวิโรจน์เห็นว่า แม้จะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะให้ประชาชนได้เลือกตั้งใหม่ทันที แต่อดีตก็ทำให้ไม่สามารถไว้วางใจได้เต็มที่

เขายกตัวอย่างว่า แม้พรรคประชาชนจะเรียกร้องให้ยุบสภาตั้งแต่เดือนมิถุนายน (หลังกรณีคลิปเสียงฮุนเซน) แต่ฝ่ายแดงกลับเพิ่งเสนอแนวทางยุบสภาหลังจากที่ MOA ระหว่างฝ่ายส้มและน้ำเงินลงนามไปแล้ว ซึ่งทำให้ข้อเสนอนี้ดูเหมือน เกมต่อรองทางการเมือง มากกว่าความจริงใจ

ยิ่งไปกว่านั้น ตัวแทนนายกฯ จากฝ่ายแดงเคยพูดว่า เป็นแค่ตุ๊กตา และไม่เคยได้รับการติดต่ออย่างเป็นทางการจากพรรคแดง จึงยิ่งสร้างความไม่มั่นใจว่าหากได้อำนาจแล้ว ฝ่ายแดงจะยุบสภาตามที่พูดไว้จริงหรือไม่

นายวิโรจน์ยังตั้งข้อสังเกตเชิงเศรษฐศาสตร์การเมืองว่า หากฝ่ายใดต้องการดูดเสียงเพื่อครองเสียงข้างมาก ต้องใช้เม็ดเงินมหาศาล เช่น หากฝ่ายน้ำเงินต้องการเสียงเพิ่มอีก 107 เสียง ต้องใช้เงินถึง 2,140 ล้านบาท (คำนวณจาก งูเห่า ตัวละ 20 ล้านบาท) ซึ่งเป็นต้นทุนที่สูงมาก จนไม่มีเหตุผลให้ลงทุนเพื่อรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ

ในทางกลับกัน หากฝ่ายแดงได้เสียง 253 เสียงจากการรวมกับฝ่ายส้ม ก็จะกลายเป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก โดย ไม่ต้องจ่ายค่าเสียงเลยแม้แต่บาทเดียว และหากไม่ยุบสภา ก็ไม่มีกลไกใดบีบให้ทำได้ทันที

เขาเตือนว่า หากฝ่ายแดง ล้มมวย ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ก็จะทำให้ฝ่ายค้านหมดสิทธิ์เสนอญัตติซ้ำในสมัยประชุมเดียวกัน ซึ่งเป็นความเสี่ยงเชิงยุทธศาสตร์

นายวิโรจน์กล่าวทิ้งท้ายว่า ไม่ว่าทางไหนก็มีโอกาสสูงที่จะถูกหักหลัง การตัดสินใจครั้งนี้ไม่ได้มีผลประโยชน์ส่วนตัวใดๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง สิ่งที่ต้องพิจารณาคือ

เลือกทางไหน มีกลไกควบคุมได้มากกว่า?

ถ้าถูกหักหลัง ใครต้องจ่ายต้นทุนมากกว่ากัน?

หากไม่ถูกหักหลัง ประโยชน์ตกอยู่ที่ประชาชนจริงหรือไม่?

ท้ายที่สุด เขาเตือนว่า การไม่เลือกฝ่ายใดเลย อาจทำให้เสียงทยอยกลับไปที่ฝ่ายแดง ซึ่งไม่มีข้อผูกพันใดยืนยันว่าจะยุบสภา ผลลัพธ์คือการได้รัฐบาลที่ไม่มีความแน่นอน และปัญหาหลายเรื่องของประเทศ เช่น ปัญหาชายแดน ปากท้อง และเศรษฐกิจ ก็ยังคงไม่ได้รับการตัดสินใจใดๆ

Scroll to Top