เศรษฐีชราสิ้นชีวิตด้วยมะเร็ง! ทิ้งมรดก 49.3 ล้าน ให้พยาบาล ครอบครัวยื่นฟ้องแต่ศาลยกคำร้อง ทนายเผย 3 ข้อเตือนใจ

เว็บไซต์ ETtoday รายงานว่า พยาบาลคนหนึ่งได้โอนเงินฝาก 46.58 ล้านดอลลาร์ไต้หวันใหม่ (ประมาณ 49.3 ล้านบาท) ของนักธุรกิจผู้มั่งคั่งซึ่งป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายมาเป็นของตนเอง หลังจากที่ดูแลผู้สูงอายุรายนี้มานานถึง 10 ปี
ทำให้ภรรยาและลูก ๆ ของเขาไม่พอใจอย่างมาก และได้ยื่นฟ้องร้องเธอในข้อหาฉ้อโกง แต่สุดท้ายผู้ดูแลกลับชนะคดี และได้รับเงินจำนวนดังกล่าวคืนไปจากลูก ๆ ของเขาในที่สุด
ทนายซู เจียหง ชาวไต้หวัน ได้โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่าคดีนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการวางแผนแบ่งทรัพย์สินในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ รวมถึงช่องโหว่ทางกฎหมายบางประการ
โดยระบุว่า มีพยาบาลคนหนึ่งดูแลเศรษฐีอาวุโสมานานกว่า 10 ปี ในช่วงที่เขาป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย เธอโอนเงินฝากกว่า 46.58 ล้านดอลลาร์ไต้หวันใหม่ (ประมาณ 49.3 ล้านบาท) มาเป็นชื่อของตนเอง
เมื่อเศรษฐีสิ้นชีวิต ความวุ่นวายก็เกิดขึ้นทันที ภรรยาและลูก ๆ โกรธจัด ฟ้องร้องเธอว่าอาศัยช่วงที่ผู้ป่วยมะเร็งสติไม่ครบถ้วน หลอกเอาทรัพย์สิน แต่สุดท้ายศาลกลับตัดสินให้พยาบาลได้รับเงินก้อนนี้คืนจากทายาท
ข้อคิดเรื่องการแบ่งทรัพย์สินขณะมีชีวิต
1. ความกตัญญูและการดูแลพ่อแม่สำคัญที่สุด
กฎหมายไม่ได้บังคับว่าพ่อแม่ต้องมอบมรดกให้ลูกเสมอไป พ่อแม่มีสิทธิ์เลือกว่าจะมอบทรัพย์สินให้ใคร หากลูกไม่สนใจหรือไม่ดูแลพ่อแม่ เมื่อเห็นว่าทรัพย์สินถูกแบ่งไปให้คนอื่นแล้ว จึงมานั่งเสียใจภายหลังก็สายเกินไป
โดยเฉพาะเมื่อผู้สูงอายุหรือผู้ป่วย สิ่งที่ต้องการที่สุดคือ “การใส่ใจและอยู่เคียงข้าง” หากลูกไม่อยู่ แต่พยาบาลหรือคนดูแลใกล้ชิดกลับเอาใจใส่ นี่จึงเป็นเหตุผลที่พ่อแม่เลือกมอบทรัพย์สินให้คนใกล้ตัว
ดังนั้นการได้รับมรดกอย่างแท้จริงไม่ได้ขึ้นอยู่กับกฎหมายเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากความกตัญญูและการกระทำของลูกในชีวิตประจำวัน
2. หากไม่ต้องการให้ลูกได้รับ “ส่วนบังคับตามกฎหมาย” ทำอย่างไร
เศรษฐีในข่าวเคยบอกทนายว่า “ไม่ต้องการให้ลูกได้รับส่วนบังคับ” เพราะแม้ทำพินัยกรรม ลูกยังสามารถอ้างสิทธิ์ตามกฎหมายได้
วิธีแก้คือ หากพ่อแม่ใช้จ่ายหรือมอบทรัพย์สินให้ผู้อื่นจริงในชีวิต พวกเขาก็จะไม่มีทรัพย์สินเหลือหลังเสียชีวิต ลูกก็จะไม่ได้ส่วนบังคับ
นอกจากนี้ หากลูกมีพฤติกรรมไม่กตัญญูอย่างร้ายแรง เช่น ทำร้าย, ไม่เคยมาเยี่ยม, หรือดูหมิ่นพ่อแม่ จนทำให้เกิดความทุกข์ทางร่างกายหรือจิตใจ พ่อแม่สามารถระบุชัดเจนหรือทำพินัยกรรมตัดสิทธิ์ ลูกก็จะไม่ได้สิทธิ์ตามกฎหมายเช่นกัน
3. วิธีหลีกเลี่ยงข้อพิพาทมรดกหลังเสียชีวิต
กรณีนี้แม้เศรษฐีจะทำ “หนังสือข้อตกลง” ยืนยันความตั้งใจมอบทรัพย์สินให้พยาบาล แต่สุดท้ายก็เกิดข้อพิพาทเพราะไม่มีพินัยกรรมล่วงหน้า และขาดการวางแผนมรดกอย่างรอบคอบ ทำให้เกิดช่องว่างทางกฎหมาย
หากจัดทำพินัยกรรม แต่งตั้งทนายผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้จัดการพินัยกรรม พร้อมทำสัญญามอบทรัพย์และส่งมอบจริงในชีวิต ทุกอย่างก็จะราบรื่น ลดข้อพิพาท
ดังนั้นหากคุณมีแนวทางการแบ่งทรัพย์สินในใจ ควรเริ่มจัดทำพินัยกรรมทันที วางแผนและกำหนดชัดเจน จัดสรรทรัพย์สินที่เพียงพอสำหรับตัวเอง และใช้การมอบ, การวางแผนเชื่อถือหรือกองทรัสต์สำหรับส่วนอื่น ๆ เพื่อให้คนที่คุณรักและครอบครัวอยู่ร่วมกันอย่างสงบ
“ทรัพย์สินไม่ได้ขึ้นอยู่กับสายเลือด แต่ขึ้นอยู่กับการใส่ใจและความจริงใจ การมอบเงินให้คนที่คุณอยากขอบคุณ คือคำสารภาพแห่งชีวิตที่ลึกซึ้งที่สุด” ทนายซู เจียหง ระบุทิ้งท้าย